วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

26/07/2010

ตื่นแต่เช้า..วันนี้แวะไปกินที่ร้านข้างๆตลาด เป็นร้านก๋วยจั๊บ บรรยากาศดูเก่าๆ วินเทจหน่อย ๆ แล้วก็อร่อยมากด้วย วันนี้ต้องซื้อข้าวกลางวันไปกินด้วย เพราะว่าวันนี้เราจะไปกินกันนอกสถานที่ เลยซื้ออาหารยอดฮิตคือ ข้าวเหนียวหมูย่าง (ข้าวเหนียวที่นี่เค้าห่อด้วยใบตองด้วย)

ออกเดินทางไปที่วัดสุชาดาราม
@ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ลำปาง
วัดสุชาดาราม มีประวัติเล่าขานที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่านางสุชาดารามไปเจอฟัก แล้วผ่าออกมากลายเป็นมรกต บ้างก็ว่าผ่ามาจากแตงโม แต่ไม่ว่าจะผ่ามาจากอะไรก็ตาม นางสุชาดารามก็สร้างประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังผ่านงานสถาปัตยกรรมให้เราได้ชมกัน


ลักษณะอาคารก็เป็นอาคารทรงเก่า ดูจากการเจาะช่อง การซ้อนชั้นหลังคา ยกฐานสูง และดูที่ช่อฟ้า มีวิหารเพื่อใช้ทำพิธีกรรมต่าง  ๆ แต่โบสถ์จะมีขนาดเล็กกว่า ถือเป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เอาไว้





โครงสร้างเป็นแบบจั่วหน้าพรหม ที่ซ้อนตามขื่อ และไม่มีปั้นลมปิดขอบกระเบื้อง การตกแต่งก็เป็นแบบปั้นปูนปิดกับไม้
บรรยากาศภายในวิหาร
ได้รับอิทธิพลมาจากพม่า และพม่าก็เชี่ยวชาญในด้านการประดับอาคารด้วยกระจก


ภาพ(อยาก)สเกตซ์


จากนั้นเราก็นั่งรถกันต่อ..เดินทางไปกินข้าวเที่ยงที่วัดข่วงกอม

@ วัดข่วงกอม ลำปาง




วัดข่วงกอม เป็นวัดเก่าแก่แต่เิดิมนั้นมีสภาพทรุดโทรมมาก ชาวบ้านจึงร่วมใจกันสร้างขึ้น มีอิทธิพลระหว่างอาคารแบบราชการ ลอกแบบของล้านนามาใช้ และอนุรักษ์แบบสืบทอดสไตล์ ทำความเข้าใจกับงานของอดีต เป็นการผสมผสานระหว่างสมัยใหม่กับแบบประเพณี มีการสร้างวิหารเป็นการฟังเทศน์ เป็นศาลาการเปรียญ เป็นที่ของการพบปะของชาวบ้าน



การใช้วัสดุที่หาได้ง่ายตามสภาพแวดล้อม กำแพงหินที่เอามาเรียงๆกันแล้วเทปูน จากการคัดขนาดหินและเทลงไปในไม้แบบ หลังคาก็มุงด้วยกระเบื้องไม้ รอบข้างวัดก็มีหมู่บ้านรายล้อม มีคลอง มีพืชพรรณสมุนไพรท้องถิ่น
บริเวณโดยรอบวัดข่วงกอม ที่มีสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกัน

การใช้ชีวิตอยู่ของชาวบ้านก็แสนจะเรียบง่าย มีรั้ว ลานที่ปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง มีท้องนาอยู่หลังบ้าน ซึ่งถูกแบ่งแยกด้วยลำเหมือง(ลำคลอง) มีการปลูกพืชคลุมดิน มีบรรยากาศความร่มรื่นและความอุดมสมบูรณ์อยู่ทุกบริเวณ ได้ไปสัมผัสทุ่งนาเป็นครั้งแรก ถึงจะร้อนแ่ต่ก็ยังรู้สึกสดชื่นไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้นานาชนิด มองไปเห็นภูเขาและท้องฟ้าที่สดใส
จากนั้นนั่งรถต่อไปที่น้ำตกแจ้ซ้อนที่ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้ไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ไปถึงจนได้...

@ น้ำตกแจ้ซ้อน ลำปาง
ไม่น่าเชื่อว่าในอุทยานจะมีน้ำตกที่แบ่งฟากระหว่างน้ำร้อนกับน้ำเย็น ระหว่างทางเดินก็ได้กลิ่นเหมือนไข่ต้ม แต่เพื่อนบอกว่าเป็นกลิ่นทางเคมีชนิดหนึ่ง พอเดินเข้าไปก็มีบริการแช่น้ำแร่ มีเพื่อน ๆ หลายคนเข้าไปแช่ ออกมาหน้าแดงกันใหญ่ ถือว่ามาพักผ่อนหลังจากที่เดินกันมาทั้งวัน
บรรยากาศบริเวณบ่อน้ำแร่ 
กว่าจะกลับก็มืดซะแล้ว พอถึงที่พักก็รีบอาบน้ำนอนทันที และเริ่มเห็นว่าผิวเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น